วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิธีพัฒนาตนเองสู่ความเป็นเลิศ

วิธีพัฒนาตนเองสู่ความเป็นเลิศ
‘วัยรุ่น’ เป็นวัยที่มีศักยภาพในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากผู้ปกครองจะพยายามส่งเสริมด้านสติปัญญา หรือ IQ ให้แก่วัยรุ่นแล้ว การพัฒนาด้าน EQ ก็เป็นสิ่งสำคัญ ‘เกร็ดน่ารู้’ สัปดาห์นี้ มีวิธีพัฒนาตนเองของวัยรุ่นสู่ความเป็นเลิศ มาฝากกัน1.ตั้งเป้าหมาย เพราะชีวิตที่ประสบความสำเร็จ คือ ชีวิตที่มีเป้าหมาย ไม่ว่าจะเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ รวมทั้งการใช้เวลาอย่างมีคุณค่า เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ2.มีวินัย เป็นหลักปฏิบัติที่ช่วยให้ทำงานสำเร็จ เอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้ด้วยเวลาอันสั้น เป็นตัวกำหนดการเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบหน้าที่ที่ได้รับ และช่วยควบคุมตนเองได้ดี3.สร้างความมั่นใจ ถือเป็นก้าวแรกสู่ความสำเร็จและเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต ทั้งเรื่องเรียนและการทำงาน นอกจากจะส่งผลให้เป็นคนกล้าแสดงออก และกล้าเผชิญกับเรื่องต่างๆ อย่างมั่นใจแล้ว ยังทำให้บุคลิกภาพดีด้วย4.รับฟังความคิดเห็น และคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นอย่างมีเหตุผล ขณะเดียวกันเมื่อพบกับปัญหา ควรหาทางออกที่เหมาะสม เพื่อสร้างความร่วมมือที่ดีในการทำงาน5.มองโลกในแง่ดี มีความคิดเชิงบวก จะส่งผลให้สุขภาพจิต สุขภาพกายดี ความคิดโปร่งใส สุดท้ายจะตามมาด้วยความสุขและความสำเร็จ6.ใช้ชีวิตให้สมดุล ด้วยการเดินสายกลาง อย่าทุ่มเทชีวิตให้ด้านใดด้านหนึ่ง จนด้านอื่น ๆ ขาดการดูแล รู้จักใช้ชีวิตให้สมดุล เพื่อกระตุ้นให้ชีวิตมีความสุข มีความคิดสร้างสรรค์ และมีพลังในการเรียน การทำงานต่อไปการพัฒนาด้านอารมณ์และจิตใจ ควบคู่ไปกับ IQ นั้น ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่ความสำเร็จอย่างแท้จริง.

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิถีมหาเศรษฐี

วิถีมหาเศรษฐี
วิถีมหาเศรษฐี W. Randall Jones เขียนหนังสือชื่อ The Richest Man In Town โดยการสัมภาษณ์และวิเคราะห์คุณสมบัติ นิสัย แนวความคิด ปรัชญาการใช้ชีวิต และอื่น ๆ ของคนที่รวยที่สุดในเมืองต่าง ๆ ของอเมริกาจำนวน 100 คน เขาพบลักษณะร่วมของคนที่เป็นมหาเศรษฐี 12 ประการ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

1) ไม่หาเงินเพื่อเงิน การทำอย่างนั้นคุณจะไม่ได้เงิน เงินจะมาก็ต่อเมื่อคุณทำในสิ่งที่ถูกต้อง และด้วยวิธีที่ถูกต้อง ทำในสิ่งที่คุณรักและมีความหลงใหลที่จะทำ คุณต้องทำในสิ่งที่มีคุณค่าเป็นประโยชน์ แล้วเงินจะมาเอง มันเป็นผลพลอยได้ ในมุมของ VI หรือนักลงทุนเน้นคุณค่า ผมคิดว่ามันถูกต้องตรงกัน อย่าลงทุนแบบจ้องหาหรือหมกมุ่นกับผลตอบแทนเกินไป มีความสุขกับการลงทุน ทำหรือเลือกลงทุนอย่างถูกต้อง เงินจะมาเอง

2) รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง ที่สำคัญต้องรู้ว่า อะไรคือความสามารถหรือความเชี่ยวชาญที่สุดของตัวเอง ถ้าคุณคิดว่าต้องไปทำงานทุกวัน นั่นก็ผิดแล้ว งานจะไม่ใช่งานถ้าคุณทำแล้วมีความสุขและเป็นสิ่งที่คุณอยากทำ วอเร็น บัฟเฟตต์เคยบอกกับซูซี่อดีตภรรยาที่ล่วงลับไปในตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆ ว่า เขาจะต้องรวย เหตุผลไม่ใช่เพราะเขาทำงานหนักหรือมีความเก่งเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะเขาเกิดมาด้วยทักษะที่ถูกต้อง ในสถานที่ที่ถูกต้อง และในเวลาที่ถูกต้อง นั่นคือ ทักษะในการจัดสรรเงินทุน หรือก็คือ การลงทุนนั่นเอง

3) เป็นนายของตัวเอง คุณไม่สามารถรวยได้โดยการทำงานให้คนอื่น เรื่องนี้ผมคงไม่ต้องอธิบายกับ Value Investor เพราะนักลงทุนนั้น ทุกคนเป็นนายของตัวเอง

4) เสพติดความทะเยอทะยาน คนเราทุกคนต่างก็เสพติดอะไรบางอย่างหรือหลายอย่างในชีวิต เราติดกาแฟ ติด Internet ติดเหล้า ติดเซ็กส์ ติดอำนาจ เราต้องคิดว่าติดอะไรแล้วจะเป็นประโยชน์ มหาเศรษฐีบอกว่า “ไม่มีความมั่งคั่งถ้าไม่มีความทะเยอทะยาน” ทำอะไรสำเร็จแล้วก็ต้องพยายามทำให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานนั้นมีด้านมืด มันอาจทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไปและเป็นอันตราย ความทะเยอทะยานนั้นควรจะมีวัตถุประสงค์ชัดเจนและเราจะต้องไม่ปล่อยให้มันอยู่เหนือการควบคุมของเรา

5) ตื่นเช้า มาถึงก่อน เริ่มตั้งแต่อายุน้อย ในเรื่องของการทำงานทั่วไปและในฐานะของผู้บริหารหรือผู้ประกอบการนั้นผมคิดว่าต้องทำทั้งสามเรื่อง แต่ในเรื่องของการลงทุนนั้น ผมคิดว่าการเริ่มตั้งแต่อายุน้อยนั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงและเป็นเศรษฐีได้ง่ายที่สุด แนวทางข้อนี้ค่อนข้างจะต้องสัมพันธ์กับข้อสอง นั่นคือ ถ้าคุณสามารถค้นพบตัวเองว่าเก่งทางไหนตั้งแต่อายุน้อย ความสำเร็จก็ไม่หนีไปไหน

6) อย่าตั้งเป้าหมาย ลงมือทำให้สำเร็จทีละน้อย เดินหน้าไปทุกวัน เป้าหมายหรือแผนธุรกิจนั้น พอเขียนเสร็จก็ล้าสมัยแล้ว มหาเศรษฐีบางคนไม่มี Business Plan และไม่ตั้งแม้แต่เป้ายอดขายด้วยซ้ำ ข้อนี้ฟังดูเหลือเชื่อ ผมคิดว่าเป้าหมายคงอยู่ในใจและเป็นเป้ากว้าง ๆ ที่จะช่วยบอกทิศทาง พวกเขาเน้นที่การปฏิบัติว่าต้องได้ผลมากกว่าการตั้งเป้าแต่ปฏิบัติไม่สำเร็จ นักลงทุนเองก็ควรคิดว่า Execution หรือการปฏิบัตินั้น สำคัญกว่าเป้าหมายมาก ถ้าเราลงทุนแล้วพอร์ตเราโตขึ้นเรื่อย ๆ นี่แหละความสำเร็จ

7) อย่ากลัวความล้มเหลว ทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จก็คือ กล้าที่จะล้มเหลว และล้มเหลวต่อหน้าสาธารณชนด้วย ทุกคนจะต้องเคยล้มเหลวมาบ้าง ไม่มีใครประสบความสำเร็จตลอดโดยที่ไม่มีความล้มเหลวมาคั่น ถ้าเรากลัวความล้มเหลว เราจะไม่กล้าทำอะไร ว่าที่จริง ไม่มีคำว่าล้มเหลวยกเว้นว่าคุณจะเลิก การลงทุนนั้นก็เช่นเดียวกัน ไม่มีทางที่คุณจะประสบความสำเร็จตลอด อย่าเลิกเมื่อขาดทุนหนัก สู้ต่อไป วันหนึ่งเราจะชนะ

8) ทำเลไม่สำคัญ ทำเลที่ว่านี้คือสถานที่ที่คุณอยู่หรือที่ที่คุณทำงาน ไม่ว่าคุณจะอยู่เมืองไหน คุณสามารถประสบความสำเร็จได้ไม่ต้องย้ายไปอยู่เมืองใหญ่หรือเมืองธุรกิจหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่เรามีเครือข่ายการสื่อสารที่ทรงประสิทธิภาพ ว่าที่จริง บัฟเฟตต์นั้น อยู่ที่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา ซึ่งเป็นเมืองทางการเกษตรมาตั้งแต่เริ่มธุรกิจลงทุนเมื่อ 50 ปีก่อนที่การสื่อสารยังไม่ดีนัก แทนที่จะอยู่ที่นิวยอร์คหรือบอสตันที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินและการลงทุน ผมเองคิดว่านักลงทุนไม่จำเป็นต้องอยู่ที่กรุงเทพถึงจะประสบความสำเร็จในการลงทุน ว่าที่จริง ยิ่งห่างอาจจะยิ่งดี

9) ยึดมั่นในจรรยาบรรณทางธุรกิจ นี่เป็นกฎเหล็กที่สำคัญที่สุด วอเร็น บัฟเฟตต์ พูดว่า “ชื่อเสียงนั้นใช้เวลา 20 ปีในการสร้าง แต่ใช้เวลาแค่ 5 นาทีในการทำลาย ดังนั้นคุณต้องสำนึกไว้ตลอดเวลา”

10) เน้นที่การขาย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกว่าบางสิ่งบางอย่างจะถูกขายออกไป นักลงทุนไม่ได้ขายอะไร แต่ต้องรู้ว่า บริษัทที่เราลงทุนนั้นขายอะไร และการขายเป็นหัวใจของความสำเร็จของบริษัท และเป็นความสำเร็จของราคาหุ้น ในความรู้สึกของผม ผมคิดว่า VI จำนวนมากชอบดูกำไรซึ่งเป็นบันทัดสุดท้าย แต่ไม่ค่อยดูยอดขายที่เป็นบันทัดแรกในงบการเงิน

11) ขอยืมไอเดียจากคนที่เก่งที่สุดและคนที่แย่ที่สุด การอ่านประวัติและวิธีคิดของคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด อย่างการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้น ผมคิดว่าไม่มีอะไรมาทดแทนได้

12) ไม่มีวันเกษียณ การเกษียณจะทำให้ชีวิตคุณล้มเหลว การเกษียณเป็นอันตรายต่อสุขภาพ การเกษียณเป็นอันตรายต่อความสนุกในชีวิต อันตรายต่อความมั่งคั่งส่วนตัว นักลงทุนไม่มีวันเกษียณ บัฟเฟตต์ และ มังเจอร์ อายุเกือบ 80 ปีแล้วยังทำงานทุกวัน แม้แต่ปีเตอร์ ลินช์ หรือ จอห์น เนฟฟ์ ที่เกษียณจากการบริหารกองทุนรวมแต่พวกเขาก็ยังบริหารกองทุนส่วนตัวอยู่Credit : โลกในมุมมองของ Value Investor 4 กรกฎาคม 2552

ในการที่จะเอาชนะคนอื่นนี่ เราต้องเอาชนะตัวเองเสียก่อน

ในการที่จะเอาชนะคนอื่นนี่ เราต้องเอาชนะตัวเองเสียก่อน
การชนะตัวเองก็คือ การคิดว่าเรากำลังแพ้อะไรเวลานี้ เราเป็นทาสอะไร จิตใจเราตกอยู่ในอำนาจของอะไร พิจารณาให้มันรอบคอบละเอียดหน่อย เราก็จะพบว่า เราตกอยู่ในอำนาจทิฏฐิมานะ ตกอยู่ในความถือตัวถือตนในทางที่ผิดทาง ตกอยู่ในอำนาจความโกรธ ตกอยู่ในอำนาจความเกลียด ตกอยู่ในอำนาจของความพยาบาทที่จะทำการแก้แค้นเขา ถ้าใจเราตกอยู่ในบาปอย่างนี้ เราก็เป็นผู้แพ้ เมื่อเราแพ้ตัวเอง เราก็แพ้คนอื่นต่อไป เราจะเป็นผู้อยู่อย่างผู้ชนะได้อย่างไร
เมื่อสภาพจิตเราเป็นอย่างนี้ เราก็ควรจะต้องเอาชนะมันให้ได้ ด้วยการพิจารณาว่า ถ้าให้สภาพจิตเป็นอยู่อย่างนี้ อะไรมันจะเกิดขึ้นต่อไป อะไรมันจะเสียหายแก่ชีวิต แก่การงาน เกียรติยศ ชื่อเสียงของเรา พิจารณาให้ละเอียดรอบคอบ เราก็จะรู้ความจริงว่าอะไรมันเป็นอะไร และเมื่อเห็นทุกข์เห็นโทษของสิ่งเหล่านั้น รู้ว่าอะไรมันเป็นอะไรถูกต้องแล้ว เราจะขืนดึงดันไปทำไมในทางเสื่อมในทางต่ำ
เปรียบได้กับคนเดินหลงทาง ไม่รู้ทาง ชั้นแรกก็เดินเรื่อยไป แต่พอรู้ตัวว่าเราเดินผิดทาง เราก็ควรกลับมาสู่ทางใหม่ เข้าสู่เส้นทางที่ถูกที่ชอบต่อไป เราก็ไปถึงจุดหมายที่เราต้องการได้ฉันใดในชีวิตของคนเรา สภาพจิตใจของคนเราก็ฉันนั้น ถ้าเรารู้สึกตัวว่าเรากำลังเก็บสิ่งชั่วร้ายไว้ในใจ กำลังทำเรื่องไม่ดีไม่งามอยู่ในใจ เราก็คิดเอาชนะสิ่งนั้น หยุดสิ่งนั้น บังคับสิ่งนั้นไม่ให้มาอยู่ในจิตใจของเราต่อไป ด้วยการใช้ปัญญาพิจารณาอย่างรอบคอบ เราก็สามารถเอาชนะตัวเองได้
เมื่อเราชนะตัวเองได้ เราก็ยอมได้
คนเราที่ยอมไม่ได้ เพราะเอาชนะตัวเองยังไม่ได้ ยอมไม่เป็น คิดจะเอาชนะเขาเรื่อย การคิดจะชนะเขา คือเราแพ้เขาอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเราคิดว่าเราจะชนะตัวเอง เราก็จะชนะคนอื่นด้วย
การชนะน้ำใจตนเองนั่นแหล่ะ คือ การชนะที่แท้